647 จำนวนผู้เข้าชม |
พ่อแม่หลายคนคงปวดหัวกับการเลือกซื้อประกันสุขภาพเด็กให้กับลูก โดยส่วนมากคิดว่าหากเด็กๆ เกิดอาการเจ็บป่วย หรือเกิดอุบัติเหตุ แล้วก็สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านั้นไหว จึงเลือกที่จะไม่ทำประกันให้กับลูกๆ แต่ทว่าแท้จริงแล้วเด็กเองก็มีความเสี่ยงใน การเกิดโรคได้มากกว่าผู้ใหญ่ และบางโรคหากเกิดกับเด็กแล้วอาจมีความรุนแรงและมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงกว่าเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นการลดความเสี่ยงด้วยประกันสุขภาพเด็กจึงเป็นทางเลือกที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งประกันสุขภาพสำหรับเด็ก ปัจจัยที่ขาดไม่ได้เพื่อลูกน้อย
การทำประกันสุขภาพสำหรับเด็กโดยส่วนมากจึงมีการคุ้มครองอย่างครอบคลุมในปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1.ค่ารักษาพยาบาล
2.ค่าห้อง
3.ค่าดูแลรักษายามพักฟื้น
หลายคนอาจมองว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นเรื่องเล็กน้อย เราสามารถดูแลได้ แต่ทว่าปัญหาด้านสุขภาพมีโอกาสเกิดเสมอซึ่งเมื่อไม่สบายแล้วเด็กบางคนอาจใช้เงินจำนวนมากกว่าผู้ใหญ่หลายต่อหลายเท่าตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสนหรือหลักล้านบาท การบริหารความเสี่ยงเช่นการซื้อประกันให้ลูกจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่มา : กรมควบคุมโรค
1.สำรวจค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลที่ลูกรักษาประจำ ว่ามีค่าห้องเท่าไหร่ค่ารักษาพยาบาลต่อครั้งแพงไหม โดยสำรวจง่าย ๆ ด้วยการเข้าเว็บไซต์ หรือ Facebook ของโรงพยาบาลได้เลย
2.ประเมินเบื้องต้นว่าลูกของเรา ป่วยบ่อยไหม หรือมีโรคประจำตัวหรือเปล่า ถ้าป่วยบ่อยปีละ 3-4 ครั้งค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งยามแอดมิดนอนโรงพยาบาล 30,000 - 50,000 บาท ถ้าป่วยบ่อยปีละ 4-5 ครั้ง ก็ 150,000 บาท ควรโอนความเสี่ยงให้กับบริษัทประกันด้วยการทำประกันสุขภาพ แต่ถ้าป่วยปีละ 1-2 ครั้ง ก็ประมาณ 60,000 บาท ก็สามารถเลือกโอนความเสี่ยงให้บริษัทประกัน หรือจะรับไว้เอง โดยไม่ซื้อประกันสุขภาพก็ได้ เพราะค่าเบี้ยประกันสุขภาพ เด็กในปัจจุบันอยู่ที่ 40,000 - 60,000 บาท
3.เลือกแผนความคุ้มครอง ควรจะเลือกค่าห้องที่เหมาะสม เช่น สำรวจค่าห้องอยู่ที่ 3,000 - 4,000 บาทต่อวัน ก็ควรเลือกแผนค่าห้องขั้นต่ำ 3,000 บาทขึ้นไป ส่วนค่ารักษาพยาบาล ควรเลือกเป็นแบบเหมาจ่าย 100,000 - 500,000 บาท เพราะจะเพิ่มทางเลือกในการรักษาได้ดีขึ้น เช่น ถ้าวงเงินรักษา 100,000 บาท สามารถเลือกตัวยาดี ๆ ยาแพงๆ ที่ช่วยให้หายเร็วขึ้น ต่างกับถ้าเลือกแบบแยกค่ารักษาเช่น ครั้งละ 40,000 บาท ทำให้ต้องใช้ยาที่มีฤทธิ์เบา ทำให้หายช้า ต้องนอนโรงพยาบาลหลายวันกว่าจะหาย
4.เลือกบริษัทประกันที่มีชื่อเสียง เพราะบริษัทเหล่านี้มีฐานลูกค้าเยอะ สายป่านยาว เงินทุนเยอะ ทำให้ไม่มีปัญหาในการเคลม หรือไม่มีการเพิ่มเบี้ยประกันภายหลัง หรือลองถามฝ่ายการเงินของโรงพยาบาลดูว่า บริษัทประกันไหนเคลมง่าย เคลมเร็วไม่ค่อยมีปัญหาในการเคลม
5.เลือกประกันสุขภาพอย่าพิจารณาจากเบี้ยประกันถูก เพราะถ้าเบี้ยถูกเกินไป หมายถึงมีการตัดความคุ้มครองบางอย่างออกไปทำให้คุ้มครองน้อยลง หรือบางอย่างไม่คุ้มครอง ปัจจุบันค่าเบี้ยประกันสุขภาพอยู่ที่ 40,000 - 60,000 บาท อาจจะต้องคำนวณงบประมาณที่สามารถจ่ายไหว และตัดสินใจเลือกตาม 5 เทคนิคนี้ได้เลยครับ
กรณ์ธินันท์ ดำรงเวชวาณิชย์ (เบิร์ด)
ที่ปรึกษาการเงินและประกันชีวิต/ผู้จัดการขาย